รู้จริง รู้ลึก รู้ทัน ทุกความเคลื่อนไหวของวงการแบดมินตันอ่าน Badminton Thai Today
ข่าวสารและกิจกรรม
ลีชองเหว่ย...ผมไม่ใช่พวกขาใหญ่
  11 ก.พ. 2560
แบ่งปัน
ลีชองเหว่ย...ผมไม่ใช่พวกขาใหญ่
ลีชองเหว่ย...ผมไม่ใช่พวกขาใหญ่

สำหรับมาเลเซีย “แบดมินตัน”ถือเป็น”กีฬามหาชน” และเป็นกีฬาที่เป็นความหวังสูงสุดของประเทศที่จะคว้าเหรียญทองในการแข่งขันโอลิมปิก ดังนั้น ความขัดแย้งระหว่าง”ซุปตาร์หมายเลข1”ของประเทศ คือ “ลีชองเหว่ย” Lee Chong Wei เจ้าของเหรียญเงินโอลิมปิก 3 สมัยและยังเป็นนักแบดมือ 1 โลกประเภทชายเดี่ยวในปัจจุบัน กับ”มอเทน ฟรอสต์” Morten Frost อดีตนักแบดมือ 1 โลกชาวเดนมาร์ค ที่มาทำงานในฐานะผู้อำนวยการฝ่ายเทคนิค สมาคมแบดมินตันมาเลเซีย ที่เกิดจากจุดเล็กๆเมื่อลีชองเหว่ยบาดเจ็บ แต่กลายเป็นข่าวว่า นักแบดที่เก่งที่สุดของประเทศอาจจะอำลาทีมชาติ จึงเป็นเรื่องไม่ธรรมดาที่เกิดขึ้น

สำนักข่าวแห่งชาติของมาเลเซีย หรือสำนักข่าว Bernama จึงได้สอบถามเรื่องนี้กับลีชองเหว่ย เพราะต้องการความกระจ่างเรื่องที่สร้างความตกใจให้กับชาวมาเลเซีย ที่ข่าวออกมาประมาณว่า การ”สร้างทีม”ของสมาคมแบดมินตันมาเลเซียภายใต้การดูแลของมอเทน ฟรอสต์ ไม่สามารถ”รอ”ให้ลีชองเหว่ยรีไทร์ ซึ่งอาจจะเป็นคน”ขวางทาง”นักแบดรุ่นใหม่ที่จะขึ้นมา
 
ขณะเดียวกัน “เทพลี”ของแฟนแบดมินตัน คือ”จำเลย”เรื่องนี้ เพราะเป็นคนออกมาโวยวาย ซึ่งต่างจากบุคลิกของเขาที่เป็นคนเงียบ ขณะที่ฟรอสต์ปิดปากเงียบกับความขัดแย้งที่เกิดขึ้น โดยสำนักข่าว Bernama ต้องการคำตอบว่า “ลีชองเหว่ย”ต้องการปกป้องสิทธิของเขาหรือต้องการแสดงความเป็น”ขาใหญ่”ในทีมแบดมินตันมาเลเซีย ทั้งที่เขาคือ”เด็กดี”ของสมาคมแบดมินตันมาโดยตลอด  


“ผมให้ความเคารพกับโค้ชเสมอ 18 ปีที่ผ่านมาที่ผมเล่นทีมชาติ ผมไม่เคยดื้อและขัดแย้งกับโค้ชคนไหน ผมยอมรับโค้ชทุกคนที่สมาคมแบดมินตันเลือกมา และผมไม่เคยขออภิสิทธิ์ใดๆ เรื่องนี้ เกิดขึ้นเพราะผมผิดหวังกับการกระทำของฟรอสต์” ลีชองเหว่ยเริ่มอธิบาย

ส่วนคำถามว่าที่ Datuk Seri Norza Zakaria รองประธานสมาคมแบดมินตันมาเลเซีย ได้เรียกทั้ง 2 คนไปหารือ แต่”ลีชองเหว่ย”ยังคงพูด จนเหมือนเรื่องไม่จบ เป็นเพราะ”อีโก้”ของตัวเองใช่หรือไม่นั้น นักแบดมินตันหมายเลข 1 ของมาเลย์ตอบว่า “ไม่” โดยยืนยันว่า ส่วนตัวเขายังเคารพและเชื่อฟัง Datuk Seri และเห็นด้วยที่เขาลงมาแก้ปัญหา แต่ที่ต้องออกมาพูด ซึ่งไม่เกี่ยวกับ”อีโก้” เป็นเพราะตัวเองผิดหวังมากกับสิ่งที่เกิดขึ้น เพราะมันไม่ควรเกิดขึ้นในขณะที่เราทุกคนมีเป้าหมายเดียวกัน

“ผมไม่ได้แสดงบทบาทเป็นขาใหญ่ ผมแค่ขอให้สมาคมแบดมินตันเปลี่ยนพื้นยางในสนามซ้อม(ที่อะคาเดมี่ใหม่)ขณะกำลังซ้อมเพื่อเตรียมไปแข่ง All England ซึ่งมันสำคัญสำหรับผม นี่อยู่ในช่วงปลายอาชีพของผม ผมไม่จำเป็นต้องเล่นบทพระเอก คุณเคยเห็นผมโกรธแบบนี้มาก่อนหรือเปล่า เปล่า...ที่ผมโวยวายเพราะเรื่องนี้ผมถือว่าผมถูกฟรอสต์ท้าทายด้วยการกระทำและคำพูดของเขา” 
 
  ส่วนที่ว่า ทำไมเพิ่งออกมาพูดเรื่องนี้ “ลีชองเหว่ย”บอกว่า เป็นเพราะตอนนี้เขาบาดเจ็บ และ โค้ช Hendrawan ก็รู้ว่าดีตัวเขาบาดเจ็บ แต่กลายเป็น มอเทน ฟรอสต์ กลับแสดงออกเหมือนต้องการให้เขาเลิกเล่น ซึ่งถือว่าล้ำเส้นเกินไป เพราะการฝึกเด็กใหม่มาแทนที่เขาไม่ใช่เรื่องง่ายๆ 

“นี่เป็นสิ่งที่เขาทำเพื่อผมเหรอ เขาไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับการฝึกของผม การได้เหรียญเงินครั้งที่ 3 ในกีฬาโอลิมปิกเกิดขึ้นเพราะความพยายามของผม และสองโค้ช คือ Hendrawan กับ  Tey Seu Bock เขาทำอะไรก่อนไปริโอ เขาไม่อนุญาตให้รุ่นน้องฝึกซ้อมกับผมด้วยซ้ำ”

อย่างไรก็ตาม การกระทำของ”ลีชองเหว่ย”ครั้งนี้ เขายอมรับว่าอาจจะถูกมองว่า”ทรยศ” เพราะ ฟรอสต์ คือคนที่เชื่อมั่นในฝีมือของเขา รวมทั้งผลักดันให้เข้าไปช่วยในอะคาเดมีเพื่อสอนนักแบดมินตันรุ่นใหม่ โดยระบุว่าว่าฟรอสต์เป็นผู้ผลักดันเขาเข้าไปในอะคาเดมี่ แต่ไม่ใช่เขาคนเดียว ยังมีนักแบดอีกหลายสิบคนที่ได้โอกาสนี้

“ความสำเร็จของผม ถูกฝึกฝนโดย Datuk Misbun Sidek ตามมาด้วย Li Mao และอีกครั้งโดย Misbun” ลีชองเหว่ยกล่าว และบอกว่า ภายใต้คำแนะนำของโค้ชทั้งสอง เขาจึงสามารถสร้างชื่อให้กับตัวเองและในที่สุดก็กลายเป็นผู้เล่นชั้นนำ และรู้ว่า ฟรอสต์ได้รับการเครดิตในเรื่องความสำเร็จของเขา 

“ผมได้รับการปฏิบัติอย่างดีจากสมาคมแบดมินตัน นั่นเป็นเพราะผมไม่เคยมีปัญหาใดๆ ผมรับใช้ชาติมาแล้ว 18 ปี และถึงตอนนี้ ผมต้องการที่จะช่วยพัฒนาผู้เล่นที่อายุน้อย ผมซ้อมเหนื่อยนะครับ แต่กลับมีคนต้องการทำลายผม นั่นเป็นเพราะอะไร เขาไม่มั่นใจฝีมือผม หรือเขามั่นใจในแผนการของเขาเอง คนนอกอาจจะไม่รู้ว่าเวลาเราเห็นนักแบดรุ่นใหม่ประสบความสำเร็จ เรามีความสุขขนาดไหน แม้อาจจะเป็นรายการระดับฟิวเจอร์(รายการเล็กๆ) ส่วนตัวผมไม่เห็นความจำเป็นต้องจ้างโค้ชชาวต่างชาติด้วยเงินเดือนสูงมาก หากโค้ชท้องถิ่นเราทำได้ แน่นอน เรามีโค้ชท้องถิ่นไม่มากนัก เราจึงต้องวางแผน”

ขณะเดียวกัน ในวัยที่จะครบ 35 ในเดือนตุลาคมนี้ ทำให้หลายคนมองตรงกันว่า”ลีชองเหว่ย” ถึงเวลานับถอยหลัง และเห็นด้วยกับฟรอสต์ ที่จะต้องเตรียมผู้เล่นใหม่ เขายอมรับว่านั่นเป็นเรื่องจริง แต่เขายังไม่หมดไฟและเชื่อว่าตัวเองยังมีพลังพอที่จะลงแข่ง และทุกคนต้องไม่ลืมว่าถึงตอนนี้”ลีชองเหว่ย”ยังเป็นมือ 1 โลกอยู่ 

“ถึงตอนนี้ ผมยังไม่เห็นนักแบดของเราคนไหนใครเอาชนะผมได้ แน่นอน นั่นคือปัญหาของทีมมาเลเซีย ผมยังต้องการเป็นแชมป์โลกที่กลาสโกว์และเหรียญทองเอเชี่ยนเกมส์ที่จาการ์ตาในปีหน้า นั่นคือแรงจูงใจของผม ผมรู้ว่าผมควรจะเลิกเมื่อไร” เทพลีกล่าวในตอนท้าย 

คงต้องรอดูว่า ความขัดแย้งของ 2 ขาใหญ่ในทีมแบดมินตันมาเลเซียครั้งนี้จะจบแบบไหน เพราะคำให้สัมภาษณ์ของ”ลีชองเหว่ย”คราวนี้ ก็ไม่ต่างจาก”ทิ้งระเบิด”ลงไปอีกหลายลูก
ข่าวสารและกิจกรรมอื่นๆ